อุปกิเลสแห่งจิต ที่อธิบายด้วยฉันทะราคะ (๑)
ภิกษุทั้งหลาย ฉันทราคะในตา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต1 ฉันทราคะ2ในหู นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในจมูก นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในลิ้น นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในกาย นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในมโน (ใจ) นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต.
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะทั้ง ๖ เหล่านี้ได้ เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นจิตน้อมไปในเนกขัมมะ อันเนกขัมมะอบรมแล้ว ควรแก่การงาน ปรากฏในธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง.
-บาลี สํ. ขนฺธ. 17/288/499.
https://84000.org/tipitaka/pali/?17//288,
https://etipitaka.com/read/pali/17/288
อุปกิเลสแห่งจิต ที่อธิบายด้วยฉันทะราคะ (๒)
ภิกษุทั้งหลาย ฉันทราคะในรูป นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในเสียง นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในกลิ่น นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในรส นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในโผฏฐัพพะ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในธรรม นี้เป็นอุปกิเลสแห่ง.
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะทั้ง ๖ เหล่านี้ได้ เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นจิตน้อมไปในเนกขัมมะ อันเนกขัมมะอบรมแล้ว ควรแก่การงาน ปรากฏในธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง.
-บาลี สํ. ขนฺธ. 17/288/500.
https://84000.org/tipitaka/pali/?17//288,
https://etipitaka.com/read/pali/17/288
อุปกิเลสแห่งจิต ที่อธิบายด้วยฉันทะราคะ (๓)
ภิกษุทั้งหลาย ฉันทราคะในจักษุวิญญาณ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในโสตวิญญาณ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในฆานวิญญาณ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในชิวหาวิญญาณ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในกายวิญญาณ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในมโนวิญญาณ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต.
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะทั้ง ๖ เหล่านี้ได้ เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นจิตน้อมไปในเนกขัมมะ อันเนกขัมมะอบรมแล้ว ควรแก่การงาน ปรากฏในธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง.3
อุปกิเลสแห่งจิต ที่อธิบายด้วยฉันทะราคะ (๔)
ภิกษุทั้งหลาย ฉันทราคะในจักษุสัมผัส นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในโสตสัมผัส นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในฆานสัมผัส นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในชิวหาสัมผัส นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในกายสัมผัส นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในมโนสัมผัส นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต.
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะทั้ง ๖ เหล่านี้ได้ เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นจิตน้อมไปในเนกขัมมะ อันเนกขัมมะอบรมแล้ว ควรแก่การงาน ปรากฏในธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง.
-บาลี สํ. ขนฺธ. 17/288/501.
https://84000.org/tipitaka/pali/?17//288,
https://etipitaka.com/read/pali/17/288
อุปกิเลสแห่งจิต ที่อธิบายด้วยฉันทะราคะ (๕)
ภิกษุทั้งหลาย ฉันทราคะในเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัส นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะโสตสัมผัส นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะฆานสัมผัส นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะชิวหาสัมผัส นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะกายสัมผัส นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัส นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต.
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะทั้ง ๖ เหล่านี้ได้ เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นจิตน้อมไปในเนกขัมมะ อันเนกขัมมะอบรมแล้ว ควรแก่การงาน ปรากฏในธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง.
-บาลี สํ. ขนฺธ. 17/289/502.
https://84000.org/tipitaka/pali/?17//289,
https://etipitaka.com/read/pali/17/289
อุปกิเลสแห่งจิต ที่อธิบายด้วยฉันทะราคะ (๖)
ภิกษุทั้งหลาย ฉันทราคะในรูปสัญญา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในสัททสัญญา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในคันธสัญญา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในรสสัญญา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในโผฏฐัพพสัญญา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในธรรมสัญญา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต.
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะทั้ง ๖ เหล่านี้ได้ เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นจิตน้อมไปในเนกขัมมะ อันเนกขัมมะอบรมแล้ว ควรแก่การงาน ปรากฏในธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง.
-บาลี สํ. ขนฺธ. 17/289/503.
https://84000.org/tipitaka/pali/?17//289,
https://etipitaka.com/read/pali/17/289
อุปกิเลสแห่งจิต ที่อธิบายด้วยฉันทะราคะ (๗)
ภิกษุทั้งหลาย ฉันทราคะในรูปสัญเจตนา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในสัททสัญเจตนา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในคันธสัญเจตนา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในรสสัญเจตนา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในโผฏฐัพพสัญเจตนา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในธรรมสัญเจตนา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต.
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะทั้ง ๖ เหล่านี้ได้ เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นจิตน้อมไปในเนกขัมมะ อันเนกขัมมะอบรมแล้ว ควรแก่การงาน ปรากฏในธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง.
-บาลี สํ. ขนฺธ. 17/289/504.
https://84000.org/tipitaka/pali/?17//289,
https://etipitaka.com/read/pali/17/289
อุปกิเลสแห่งจิต ที่อธิบายด้วยฉันทะราคะ (๘)
ภิกษุทั้งหลาย ฉันทราคะในรูปตัณหา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในสัททตัณหา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในคันธตัณหา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในรสตัณหา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในโผฏฐัพพตัณหา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในธรรมตัณหา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต.
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะทั้ง ๖ เหล่านี้ได้ เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นจิตน้อมไปในเนกขัมมะ อันเนกขัมมะอบรมแล้ว ควรแก่การงาน ปรากฏในธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง.
-บาลี สํ. ขนฺธ. 17/289/505.
https://84000.org/tipitaka/pali/?17//289,
https://etipitaka.com/read/pali/17/289
อุปกิเลสแห่งจิต ที่อธิบายด้วยฉันทะราคะ (๙)
ภิกษุทั้งหลาย ฉันทราคะในปฐวีธาตุ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในอาโปธาตุ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในเตโชธาตุ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในวาโยธาตุ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในอากาสธาตุ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในวิญญาณธาตุ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต.
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะทั้ง ๖ เหล่านี้ได้ เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นจิตน้อมไปในเนกขัมมะ อันเนกขัมมะอบรมแล้ว ควรแก่การงาน ปรากฏในธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง.
-บาลี สํ. ขนฺธ. 17/290/506.
https://84000.org/tipitaka/pali/?17//290,
https://etipitaka.com/read/pali/17/290
อุปกิเลสแห่งจิต ที่อธิบายด้วยฉันทะราคะ (๑๐)
ภิกษุทั้งหลาย ฉันทราคะในรูป นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในเวทนา นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในสัญญา นี้เป็นกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในสังขาร นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ฉันทราคะในวิญญาณ นี้เป็นอุปกิเลสแห่งจิต.
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะทั้ง ๕ เหล่านี้ได้ เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นจิตน้อมไปในเนกขัมมะ อันเนกขัมมะอบรมแล้ว ควรแก่การงาน ปรากฏในธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง.
-บาลี สํ. ขนฺธ. 17/290/507.
https://84000.org/tipitaka/pali/?17//290,
https://etipitaka.com/read/pali/17/290
1 อุปกิเลส อุปกฺกิเลส = เศร้าหมอง, หม่น หมอง, เปรอะเปื้อน.
2 ฉันทราคะ = ความยินดีพอใจ
3 พระสูตรข้อ 501 ในบาลีสยามรัฐไม่มี ทำให้ข้อตั้งแต่ 502 – 612 เมื่อเทียบกับในภาษาบาลี จึงผิดกันอยู่หนึ่งข้อ ตัวอย่างเช่น ภาษาไทย ข้อ 502 บาลีสยามรัฐจะเป็นข้อ 501 จนถึงข้อสุดท้าย ภาษาไทยข้อ 612 บาลีสยามรัฐจะเป็นข้อ 611 ฝากไว้ให้ผู้รู้ช่วยวินิจฉัย ส่วนในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ และฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2549 มีเนื้อหาพระสูตรในส่วนนี้ครบถ้วน.
English translation by Bhikkhu Sujato
At Sāvatthī.
“Mendicants, desire and greed for the eye, ear, nose, tongue, body, or mind is a corruption of the mind. When a mendicant has given up mental corruption in these six cases, their mind inclines to renunciation. A mind imbued with renunciation is declared to be capable of directly knowing anything that can be realized.”
English translation by Bhikkhu Sujato
At Sāvatthī.
“Mendicants, desire and greed for sights, sounds, smells, tastes, touches, or ideas is a corruption of the mind. When a mendicant has given up mental corruption in these six cases, their mind inclines to renunciation. A mind imbued with renunciation is declared to be capable of directly knowing anything that can be realized.”
English translation by Bhikkhu Sujato
At Sāvatthī.
“Mendicants, desire and greed for eye consciousness, ear consciousness, nose consciousness, tongue consciousness, body consciousness, or mind consciousness is a corruption of the mind. When a mendicant has given up mental corruption in these six cases, their mind inclines to renunciation. A mind imbued with renunciation is declared to be capable of directly knowing anything that can be realized.”
English translation by Bhikkhu Sujato
At Sāvatthī.
“Mendicants, desire and greed for eye contact, ear contact, nose contact, tongue contact, body contact, or mind contact is a corruption of the mind. …”
English translation by Bhikkhu Sujato
At Sāvatthī.
“Mendicants, desire and greed for feeling born of eye contact, feeling born of ear contact, feeling born of nose contact, feeling born of tongue contact, feeling born of body contact, or feeling born of mind contact is a defilement of the mind. …”
English translation by Bhikkhu Sujato
At Sāvatthī.
“Mendicants, desire and greed for perception of sights, perception of sounds, perception of smells, perception of tastes, perception of touches, or perception of ideas is a corruption of the mind. …”
English translation by Bhikkhu Sujato
At Sāvatthī.
“Mendicants, desire and greed for intention regarding sights, intention regarding sounds, intention regarding smells, intention regarding tastes, intention regarding touches, or intention regarding ideas is a corruption of the mind. …”
English translation by Bhikkhu Sujato
At Sāvatthī.
“Mendicants, desire and greed for craving for sights, craving for sounds, craving for smells, craving for tastes, craving for touches, or craving for ideas is a corruption of the mind. …”
English translation by Bhikkhu Sujato
At Sāvatthī.
“Mendicants, desire and greed for the earth element, the water element, the fire element, the air element, the space element, or the consciousness element is a corruption of the mind. …”
English translation by Bhikkhu Sujato
At Sāvatthī.
“Mendicants, desire and greed for form, feeling, perception, choices, or consciousness is a corruption of the mind. When a mendicant has given up mental corruption in these five cases, their mind inclines to renunciation. A mind imbued with renunciation is declared to be capable of directly knowing anything that can be realized.”